ภูมิแพ้อาหารแอบแฝง
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องพบในประชากรได้ทั่วโลก อุบัติการณ์ของภูมิแพ้เพิ่มขึ้นมากกว่า 50-70% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีความซับซ้อนมากขึ้นในตัวโรคภูมิแพ้เอง เพราะเมื่อก่อนเราจะได้ยินแค่ภูมิแพ้ผิวหนังและทางเดินหายใจเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันก็จะมีในส่วนภูมิแพ้อาหารซึ่งเกิดมากขึ้นทุกวัน และภูมิแพ้ที่มาจากการที่ร่างกายรับพิษไม่ไหว จึงแสดงอาการในรูปแบบการต่อต้านเพื่อให้ร่างกายหลีกหนีจากความเป็นพิษเหล่านั้น
ความยากในการวินิจฉัยโรคยังมากขึ้นอีก เพราะมีเรื่องของภูมิแพ้เฉียบพลัน (Acute allergy) และภูมิแพ้ที่อาการเกิดขึ้นช้า (Delay type of allergy) แต่ก่อนเราจะเห็นว่าภูมิแพ้มักเกิดขึ้นในเด็ก แต่พอเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นหรือวัยกลางคน อาการแพ้จะเริ่มดีขึ้น แต่ปัจจุบันมีโรคภูมิแพ้ที่เพิ่งเริ่มมาปรากฏในคนที่อายุเยอะแล้วอีกด้วย
เนื่องจากปัจจุบันโลกของเรามีปัญหาเรื่องมลพิษ ร่วมกับการใช้สารเคมีกับทุกๆสิ่งในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ก็จำเป็นต้องปรับตัวและวิวัฒนาการตนเองให้ทนทานต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมนั้นมากขึ้น การเกิดภูมิแพ้ก็เป็นการปรับตัวและวิวัฒนาการอย่างนึง เพราะเป็นเซนเซอร์ให้ร่างกายรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นพิษและเราควรจะหลีกหนีและขับมันทิ้งออกไป หากร่างกายสามารถทนทานและขับพิษได้ดี ปัญหาเรื่องภูมิแพ้ก็จะหมดไป ไม่อย่างนั้นก็จะนำไปสู่ภาวะภูมิแพ้เรื้อรังหรือเกิดภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองในที่สุด เพราะร่างกายได้สูญเสียความสามารถในการแยกแยะว่าอะไรเป็นของตนเอง อะไรเป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายเรารับสิ่งแปลกปลอมมากที่สุดบริเวณทางเดินอาหาร ดังจะเห็นได้จากว่าเรามีระบบน้ำเหลืองเยอะมากในช่องท้องของเรา แสดงว่าในทางเดินอาหารเป็นด่านแรกที่ต้องรับมือกับสิ่งแปลกปลอมจำนวนมากจริงๆ แล้วก็เป็นที่ทราบดีว่าการปนเปื้อนก็เกิดขึ้นมากที่สุดในอาหารของเรา เมื่อเทียบกับสารพิษในอากาศ สาเหตุเกิดจากประชากรโลกที่มากขึ้น และอาหารที่เพียงพอต่อการเติบโตของประชากรจะต้องมีปริมาณมากและไม่บูดเสียง่าย จึงหลีกหนีไม่พ้นการใช้สารเคมี เราจึงพบว่าการเกิดภูมิแพ้พบได้ในเด็กที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเด็กแรกเกิด
นั่นเป็นเพราะทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราเริ่มกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปหมด และเมื่อทางเดินอาหารไม่สามารถทำการย่อยสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ได้หรือย่อยไม่หมด ก็จะเกิดปัญหาตกค้างทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้องทำงานหนักขึ้น ถ้าสารพิษเหล่านี้ไม่สามารถสลายได้หมดก็จะตกค้างทำให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบ เกิดแผลและรูรั่ว แบคทีเรียที่เป็นเชื้อโรค (Pathogenic bacteria) ก็จะมีปริมาณมากกว่าแบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora) ทำให้โมเลกุลของอาหารที่ใหญ่เกินกว่าจะย่อยได้และเชื้อโรครั่วเข้าสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น ภูมิคุ้มกันที่อยู่ในกระแสเลือดต้องทำงานหนักขึ้นและใช้เวลานานขึ้น ถ้ากำจัดสิ่งแปลกปลอมไปได้หมดก็จะไม่เกิดอาการใดๆ แต่ถ้าหากกำจัดไม่หมดอาการภูมิแพ้ชนิดที่ออกอาการช้า (Delay type of allergy) ก็จะเกิดขึ้น และอาการอาจจะเกิด ณ ส่วนใดของร่างกายก็ได้ เช่น ปวดไมเกรน ปวดเมื่อกล้ามเนื้อเรื้อรัง ผื่นขึ้นที่หน้าเฉพาะบางส่วน สิว หรือผื่นผิวหนังชนิดอื่นๆ แม้กระทั่งผื่นลมพิษ และส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่รู้สาเหตุว่าเราแพ้อาหารชนิดใดทำให้ต้องเพิ่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการแบบพิเศษ
เป็นที่ทราบดีว่าการรักษาภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ แต่ในปัจจุบันปัญหาคือการหาสิ่งที่แพ้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากอาหารปนเปื้อนสารพิษหลายชนิดมากขึ้น และอาการไม่ได้เกิดขึ้นเฉียบพลันหลังการสัมผัสหรือรับประทานสิ่งที่แพ้เสมอไป ดังนั้นการป้องกันตั้งแต่เกิดมาจึงเป็นสิ่งสำคัญ นั่นก็คือการดูแลเรื่องภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นปราการด่านแรกของการเกิดภูมิแพ้ ได้แก่การรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน การดื่มน้ำให้เหมาะสม 7-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน การนอนหลับให้เพียงพอ การขับถ่ายที่สม่ำเสมอไม่ท้องผูก หากมีอาการก็ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าแพ้อะไร จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง
เนื่องจากการตรวจภูมิแพ้ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยต้องใช้เข็มจิ้มที่ผิวหนัง ก็สามารถเปลี่ยนเป็นการตรวจจากเลือดเพื่อหาสารก่อภูมิแพ้ หลังจากนั้นค่อยหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ การส่งห้องปฏิบัติการแต่ละชนิดก็มีความละเอียดมาก เช่น ตรวจแบบเฉียบพลันหรือเกิดช้า ตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ผิวหนัง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารหรือสารพิษ เป็นต้น การรักษานอกเหนือไปจากการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ยังต้องฝึกความแข็งแกร่งของของภูมิคุ้มกันในร่างกายไปด้วย อาจจะเป็นการได้รับวิตามิน หรือยา เพื่อบรรเทาอาการของโรคในระหว่างที่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ในร่ายละเอียดต่อไป